PATKORN INFINITY
1. Cernitin เซอร์นิติน มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการให้ แต่ละวัน
-
มีวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด
-
มีกรดอะมิโนที่สำคัญมากกว่า 50 ชนิด
-
มีเอ็นไซม์ที่จำเป็นในการทำงานของร่างกาย
2. Cernitin เซอร์นิติน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "NUTRACEUTICAL" หรือสารอาหารบำบัด มี ฤทธิ์เปรียบเสมือนเทียบเท่ากับ ยา (สารอาหารจะไม่มีเคมี)
3. Cernitin เซอร์นิติน ได้รับมาตรฐานการผลิตในระดับสากล
-
เป็นงานค้นคว้าวิจัยระดับโลก โดยนักวิจัยชาวสวีเดน
-
ขั้นตอนการผลิต เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก
-
ประเทศไทยได้รับ ฮาลาล และ อย.
4. Cernitin เซอร์นิติน ได้รับมาตรฐาน
-
มาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ
-
และค่า CAP-e Test หรือ ค่าความสามารถในการดูดซึมเข้าสู่เม็ดเลือดแดงที่สูงมากทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100% ปลอดภัย และไม่ตกค้างในร่างกาย
อะไรคือเซอร์นิติน?
เซอร์นิตินไม่ใช่ยาหรือ อาหารเสริม แต่องค์การอนามัยโลกจดทะเบียนเป็น
Nutraceutical หรือ สารอาหารบำบัด เทียบเท่าเภสัชภัณฑ์หรือยา
"เซอร์นิติน" เป็นสารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูง จากอณูละอองเกสรดอกไม้ ได้รับการขึ้น ทะเบียนเป็น NUTRACEUTICAL หรือ สารอาหารบำบัด
เซอร์นิตินมีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี ขั้นตอนการผลิตเป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก
ได้รับค่ามาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ และค่า CAP-e Test หรือ ค่าความสามารถในการดูดซึมเข้าสู่เม็ดเลือดแดงที่สูงมากทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%
มาตรฐานระดับโลก
เซอร์นิติน เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทกรามิเน็กซ์ (Graminex)
และเอบีเซอร์เนล (AB Cernelle)
ซึ่งขั้นตอนการผลิตทั้งหมดได้ผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9002 และโรงงานการ์มิเน็กซ์ได้รับการรับรองเป็นโรงงานผลิต ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้มาตราฐาน GMP ขององค์การอนามัยโลก
ได้รับผลงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 150 ฉบับ
ดูผลงานวิจัย
^
^
โรคมะเร็ง
โรคมะเร็งคือ โรคซึ่งเกิดมีเซลล์ผิดปกติในร่างกาย และเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเซลล์เหล่านี้จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายได้ทั่วร่างกายส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ เหล่านั้นล้มเหลวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก และไขกระดูก
การรักษาทางการแพทย์
การตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกย่อมเป็นผลดีต่อการรักษา
ซึ่งวิธีการรักษามีดังต่อไปนี้
1. การผ่าตัด เป็นการเอาก้อนที่เป็นมะเร็งออกไป มักทำในผู้ป่วยที่โรคมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ตำแหน่งเริ่มต้น (มะเร็งระยะที่ 1) หรือในบางกรณีเพียงกระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงหรือลุกลามทะลุผ่านอวัยวะที่เป็นโพรง (ระยะที่ 2) เท่านั้น ฉะนั้นจะเห็นว่ามักมีการรักษาเสริมด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ซึ่งมีความสำคัญและเสริมให้ผลการผ่าตัดได้ผลดียิ่งขึ้น
2. รังสีรักษา เป็นการให้รังสีกำลังสูง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง คือ รักษาโดยใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า หรือ อนุภาคที่มีพลังงานสูง เช่น อิเลคตรอน โปรตอน หรือ นิวตรอน โดยฉายรังสีในบริเวณที่เป็นโรคและครอบคลุมไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่อาจมีโรคแพร่กระจายไปด้วย รังสีจะฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ในร่างกายที่แบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุลำไส้ ก็มีโอกาสถูกทำลายด้วย ü
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ฉายรังสี วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 5-15 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จนครบได้ปริมาณรังสีตามแพทย์กำหนด (ประมาณ 10-35 ครั้ง)
3. เคมีบำบัด เป็นการให้ยา (สารเคมี) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง คือ การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง และอาจมีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติ
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ขึ้นกับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง และการตอบสนองของมะเร็งต่อตัวยา มักให้เป็นชุด ชุดละ 1-5 วัน ห่างกัน 3-4 สัปดาห์
4. ฮอร์โมนบำบัด เป็นการใช้ฮอร์โมน เพื่อยุติการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
5. การรักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาร่วมกันหลายวิธีดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค
จะเห็นได้ว่า ผลข้างเคียงจากการรักษาทั้ง 5 วิธี มีผลกับการกินอาหาร เพราะเมื่ออ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ มีแผลอักเสบในปาก ก็จะกินได้น้อยลง เริ่มน้ำหนักลด สูญเสียกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันต่ำ เกร็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ